คุโรมาตี้(Cromartie) หรือ สคูลรัมเบิ้ล (School Rumble) ตกลงใครฮากว่ากันแน่?

  

  ก็กลายเป็นหัวข้ออันร้อนแรงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ณ เว็บบอร์ดพันทิพ เมื่อมีกระทู้มาถามเปรียบเทียบเกี่ยวกับ2เรื่องนี้ว่า เรื่องไหนฮากว่ากัน ซึ่งก็มีทั้งฝ่ายที่เชียร์คุโรมาตี้ขาดใจ กับฝ่ายที่เชียร์สคูลรัมเบิ้ลสุดฤทธิ์ มีส่วนน้อยที่บอกว่า สนุกทั้งคู่ หรือ แ-่งก็ฝืดทั้งคู่นะแหละ แต่ก็มีแฟนสคูลรัมเบิ้ลบางคน ก็เข้ามาโจมตีคุโรมาตี้ด้วยสารพัดคำด่า จนแฟนๆของคุโรมาตี้ทนไม่ไหว ก็เลยเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ในที่สุดเรื่องราวก็จบกันด้วยดี โดยที่ได้ข้อสรุปว่า คนชอบตลกแบบคุโรมาตี้มากกว่า(ตามผลโหวต) รวมถึง ความนิยมชมชอบของทั้ง2เรื่องนั้น มันก็นานาจิตตังของแต่ละคน และ ทั้ง2เรื่องนี้ มันตลก คนละสไตล์ เอามาเทียบกันไม่ได้หรอก!!!!!!

  จากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็เลยกลายมาเป็นหัวข้ออีกเรื่องหนึ่ง ที่เราจะเสนอ โดยความคิดเห็นส่วนตัวนั้น ผมก็อ่านการ์ตูนทั้ง2เรื่องนี้บ่อยๆ ใน KC Weekly และผมก็มีความเห็นว่า จริงๆแล้วๆ ทั้ง2เรื่องนั้น ต่างก็นำเสนอมุขตลกกันคนละแบบ คนละสไตล์ เพียงแต่ว่า สคูลรัมเบิ้ลนั้น จะนำเสนอมุขในสไตล์ใกล้เคียงกับคุโรมาตี้ในช่วงแรกๆเท่านั้น แต่ถ้าใครได้อ่าน สคูลรัมเบิ้ล ตอนที่ลงใน KC ในช่วงหลังๆนั้น ก็จะพบว่า เรื่องนี้ได้แปรสภาพจากการ์ตูนมุขแป้กๆหน้าตาย กลายเป็น การ์ตูนรักกุ๊กกิ๊ก สมชื่อเรื่อง "สูตรรักฉบับนักเรียน" เลยล่ะ

  โดยทั้ง2เรื่องนั้น ก็มีบทวิจารณ์ให้อ่านในเว็บนี้แล้ว ผมคงจะไม่เน้นย้ำถึง เนื้อเรื่องย่อของทั้ง2เรื่องนี้อีก แต่คราวนี้ก็จะมาลองเน้นดูตรงจุดเด่นๆที่ทั้ง2เรื่องมี
โดยเริ่มจาก คุโรมาตี้ ก่อน โดย คุโรมาตี้นั้น อย่างที่รู้ๆกันว่า เป็นการ์ตูนตลกหน้าตาย โดยเน้นแฝงปรัชญาเอาไว้ หรือ บางทีก็จบโดยการเสียดสีปรัชญาบ้าง ซึ่งเหล่าตัวละครในเรื่องต่างก็ทำหน้าตาเคร่งเครียด แต่ถ้าลองอ่านคำพูดทุกตัวอักษรนั้น ก็จะพบว่า สิ่งที่ตัวละครเหล่านี้พูดกันนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่สิ ดีไม่ดี อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระ ชนิดที่ว่า ต้องจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ แถมหัวข้อสนทนาของเหล่าตัวละคร ก็ล้วนมาจากประสบการณ์ที่ใครหลายคน(อาจ)เจอ แต่ก็เพราะจุดนี้แหละ ที่ทำให้ผู้อ่านบางคนหัวเราะร่อ ชนิดที่อึ้งไปกับมุขที่คาดไม่ถึงแบบหลุดโลกเลยทีเดียว ถึงจะบอกว่างั้น แต่อย่าลืมว่า มีบางส่วนที่ไม่โปรดการ์ตูนเรื่องนี้มากพอควร ซึ่งเหตุผลนั้น ก็คงจะเป็นการที่ไม่อินไปกับเนื้อเรื่อง หรือ ไม่ชอบตลกที่เน้นคำพูด+คิด มากกว่าการกระทำ แต่การได้ คนแปล อย่าง คุณ คามิยามะ(นามปากกา) มาแปลการ์ตูนเรื่องนี้ ก็ทำให้สำนวนการอ่านดูฮาขึ้น(แต่พักหลัง เริ่มแซวแบบฮาร์ดคอร์ขึ้นเหมือนกันนะ) จนน่าจะเรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นอีกข้อหนึ่งที่ช่วยเสริมให้เรื่องนี้ไม่"ดับ"สนิท
   แต่จุดเด่นอีกอย่างที่คุโรมาตี้เด่นไม่แพ้กันเลย ก็คงจะเป็นคาแร็กเตอร์ที่ไม่เหมือนใคร ทั้งตัวละครที่เป็นมนุษย์ และ ไม่ใช่มนุษย์ ที่ความบ๊องๆบวมๆของพวกเขา พร้อมจะสร้างความเปิ่นความฮาให้กับผู้อ่าน อย่าง เฟรดดี้ ที่บางคนเห็นหน้าก็ขำ ,หุ่นยนต์เมก้าซาวะ หรือ กอริลล่า ที่หลายคนชอบในการกระทำของเขาที่ไม่เหมือนใครดี ,ตลกปูทัน ที่หลายๆคนอ่านแล้วยังสงสัยว่า หมอนี่มันตลกตรงไหน หรือจะเป็น ฟูจิโมโต้ นักเลงบ้าเน็ต ที่มักจะพูดอย่างทำอย่างให้ลูกน้องได้เห็นประจำ และ ลูกกระจ๊อกของโฮกุโตะ ผู้น่าสงสาร ที่จนป่านนี้ยังไม่มีใครรู้ชื่อจริงเลย เป็นต้น

  คราวนี้ก็ข้ามฝั่ง พูดถึงสคูลรัมเบิ้ลบ้าง โดยสคูลรัมเบิ้ลนั้น จุดเด่นที่ชัดเจนที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น เหล่าตัวละครสาวๆจำนวนมากที่มีอยู่ในเรื่องนี้ สาวๆแต่ละคนล้วนน่ารักและมีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งการที่มีตัวละครสาวๆเยอะนั้น ก็ถือว่าเป็นจุดขายของการ์ตูนเรื่องนี้ไปในตัว โดยเฉพาะ กลุ่มผู้อ่านที่เป็นชายหนุ่ม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด จนสินค้าที่เกี่ยวกับสคูลรัมเบิ้ลนั้น ต่างก็ขายดี เแต่การที่เน้นขายตัวละครสาวๆนั้น อาจทำให้บางคนนึกว่า เรื่องนี้ดูจะเน้นสาวๆมากกว่าเน้นมุขตลกเสียอีก แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้นซะทีเดียว สำหรับการ์ตูนเรื่องนี้นั้น จัดว่ามีมุขตลกที่ค่อนข้างใช้ได้ โดยเฉพาะในเล่มหลังๆ ที่เน้นเนื้อเรื่องเป็นแบบการ์ตูนรักโรแมนติกแบบน่ารักๆปนฮา ซึ่งผิดกับเล่มแรกๆที่ อ.โคบายาชิ ผู้แต่ง ยังใช้มุขตลกสไตล์ที่คล้ายๆกับคุโรมาตี้ แต่เขาก็ค่อยๆปรับสไตล์มุขตลกให้เป็นของตัวเอง จนกลายเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จของอ.โคบายาชิ เลย
   อีกจุดหนึ่งที่ทำให้สคูลรัมเบิ้ลนั้น เป็นการ์ตูนที่ตลก และ เป็นที่นิยม ก็คงจะเป็น ความบ๊องๆบวมๆ ซื่อบื้อ ของเหล่าคู่พระนางประจำเรื่อง อย่าง ฮาริมะ และ เทนมะ ที่มักชอบคิดอะไรไปเอง จนสร้างความวุ่นวายและความเข้าใจผิดให้กับหลายคนๆ(รวมถึงตัวเอง)แทบจะทุกตอน และก็รวมไปถึงความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องที่สุดแสนจะซับซ้อน และน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ นายหนวด ฮาริมะ นั้น มองภายนอกนึกว่าจะเป็นจิ๊กโก๋จอมเซ่อ งี่เง่า ธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นว่า เขานั้น ต้องพัวพันกับสาวๆในเรื่องหลายคน ทั้ง เทนมะ เอริ มิโคโตะ หรือ แม้กระทั่ง ยาคุโมะ น้องสาวของเทนมะ จนทำให้ตัวเขานั้นต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกับคนอื่นอยู่บ่อยครั้ง (โดยเฉพาะกับ ฮานาอิ เนี่ย มีเรื่องกันบ่อยครั้งมาก) ซึ่งจุดนี้ก็ทำให้เรื่องนี้ขบขัน น่าอ่านและได้ลุ้นอีกด้วย

  พูดถึงจุดเด่นๆที่ทั้ง 2 เรื่อง มีอยู่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ลองมาพูดถึงจุดด้อยของทั้ง2เรื่อง ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่าจุดด้อยของทั้ง2เรื่องนั้นแทบจะเหมือนกัน คือ มุขบางมุขของทั้ง2เรื่องนั้น ต่างก็เป็นมุขตลกวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ซึ่งอาจรวมไปถึงมุขคำพ้องเสียงของญี่ปุ่น(ในสคูลรัมเบิ้ลจะมีมุขประเภทนี้มากเป็นพิเศษ) สำหรับคนอ่านในบ้านเรา ถ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่น และ วัฒนธรรมญี่ปุ่น อาจอ่านแล้วไม่ขำเลยพาลไม่อ่านต่อเลยก็เป็นได้ และจุดนี้แหละ ที่จะทำให้ คุโรมาตี้ ค่อนข้างจะเสียเปรียบ เพราะ คุโรมาตี้นั้นล้วนมีแต่มุขเฉพาะกลุ่ม ที่คนบางกลุ่มเขาเข้าใจเท่านั้น (และอีกอย่างหนึ่ง ก็เล่นไม่มีสาวๆมาให้ได้สดชื่นเลย นอกจาก แม่มาเอดะ - -") ก็เลยไม่แปลกใจเลย ที่ความนิยมล่าสุดในการ์ตูนที่ลงใน KC Weekly นั้น คุโรมาตี้ติดอยู่ในอันดับท้ายสุด ในขณะที่ สคูลรัมเบิ้ล อยู่ที่9 ซึ่งไม่ได้มาแรงอย่างที่คิด เหตุผลหนึ่งก็เพราะ ตอนแรกของสคูลรัมเบิ้ลนั้นก็จะเน้นยิงมุขแบบหักมุมหน้าตาย ซึ่งมันก็อุดมไปด้วยมุขตลกวัฒนธรรมที่คนบางกลุ่มเขาเข้าใจ มันก็เลยยังไม่แรงเท่าที่ควร แถมยังอุตส่าห์มีคนเรียกร้องเอา2เรื่องนี้ออกจาก KC ซะอีก แต่เชื่อได้ว่า พอสคูลรัมเบิ้ลเปลี่ยนเป็นแนวกุ๊กกิ๊กๆแบบตอนนี้ ความนิยมอาจมากขึ้นก็เป็นได้

  กล่าวโดยสรุป ถ้าเทียบกันโดยรวมนั้น สคูลรัมเบิ้ล จะเฉือนชนะ คุโรมาตี้ ในแง่ที่เข้าใจกับเนื้อเรื่องได้ง่ายกว่า รวมถึง การมีคาแรกเตอร์สาวๆ นั้น ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง แต่มุขหักมุมของแต่ละตอนนั้น คุโรมาตี้ กลับเหนือกว่า แต่ถ้าเทียบกันแค่มุขตลกล่ะ? ตรงนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความนิยมชมชอบของพวกคุณแล้วละครับ ว่า คุณชอบสไตล์แบบไหน เพราะทั้ง2เรื่องนั้น ต่างก็ตลกขบขันกันคนละแบบตามที่กล่าวแล้วข้างต้น ถ้าใครชอบมุขตลกๆแบบสบายๆ ก็ต้อง สคูลรัมเบิ้ล แต่ถ้าใครชอบมุขตลกแบบ หน้าตาย หักมุมแหวกแนวแฝงปรัชญา ก็ต้อง คุโรมาตี้.........



 
free hit counter javascript