10 ปี K-D : สุดยอดหนังอนิเมชั่นบนโรง มาแรง รอบ 10 ปี (2005-2015)

บทความใหม่ ฉลองครบรอบ 10 ปีของเว็บไซต์ K-D ต่อเนื่องกับบทความนี้..... !!!!!

บทความต่อเนื่องจากภาคที่แล้ว ที่ว่าด้วยอนิเมฮอตฮิตที่สุดในรอบ 10 ปี ช่วงปี 2005 - 2015 หลังจากติดพันกับภารกิจส่วนตัวมานาน ในที่สุด ได้โอกาสมาเขียนภาคต่อกันซะที ซึ่งในบทความนี้ เราจะว่าด้วยเรื่องราวของหนังอนิเมชั่นญี่ปุ่น-ตะวันตก ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงที่สุดในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา (2005-2015)

ก็เช่นเคย เรื่องที่ติดในลิสต์นี้ เป็นเพียงความคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้น

 

Japanese Animation

หนังอนิเมจาก Studio Ghibli

ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมานี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า หนังอนิเมจาก Studio Ghibli ยังคงสร้างอิทธิพลให้แก่ผู้ชมชาวญี่ปุ่นมานักต่อนักเหมือนเคย โดยยังรักษาความยอดเยี่ยมในด้านคุณภาพ สะท้อนแนวคิด ปรัชญา ด้านต่างๆ ตามที่บรรดาหนังรุ่นพี่รุ่นบุกเบิกของ Ghibli ทั้ง Nausicaa , Laputa , Totoro , Grave of Fireflies , Princess Momonoke , Spirited Away ฯลฯ เคยทำไว้ได้อย่างยิ่งยวด แม้ว่า ใน 10 ปีให้หลังนี้ ทางสตูดิโอจะเริ่มใช้บริการผกก.รุ่นใหม่ๆ มาสานต่อรุ่นเก๋ามากประสบการณ์อย่าง ฮายาโอะ มิยาซากิ กับ อิซาโอะ ทาคาฮาตะ กับหนังจำนวนหนึ่ง จนน่าเรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนถ่ายสายเลือดของสตูดิโอแห่งนี้เลยก็ว่าได้

โดยหนัง Ghibli ในช่วง 10 ปีนี้ เริ่มต้นด้วย Tales from Earthsea เมื่อปี 2006 จากผลงานการกำกับของ โกโร่ มิยาซากิ และด้วยความที่เขาเป็นบุตรชายของ ฮายาโอะ มิยาซากิ เลยทำให้คออนิเมต่างคาดหวังผลงานเรื่องนี้ซะสูง พอตัวหนังออกฉายจริง ฟีดแบ็คของตัวหนังนั้นก็ออกมาทั้งบวกและลบที่เยอะพอๆกัน ถึงกระนั้น ผลงานเรื่องนี้ก็ถือเป็นการลองผิดลองถูกของเหล่าผกก. & อนิเมหน้าใหม่ของสตูดิโอ ให้มีทักษะ เพิ่มพูนประสบการณ์ของพวกเขากันมากขึ้น เลยส่งผลดีถึงความพยายามของกลุ่มคนรุ่นใหม่นี้ที่ถึงคราวสมหวัง เมื่อ Secret World of Arrietty (2010) ของ ผกก. ฮิโรมาสะ โยเนบายาชิ กับ From Up the Poppy Hill (2011) หนังอนิเมจากผลงานของ โกโร่ อีกเรื่องหนึ่ง สามารถโกยรายได้จากการออกฉายอย่างถล่มทลาย แถมยังคว้ารางวัลหนังอนิเมชั่นยอดเยี่ยมจาก Japan Academy Prize ได้อีกต่างหาก

ในเมื่อผกก.& อนิเมเตอร์หน้าใหม่ของสตูดิโอ ต่างโชว์ฟอร์มเข้าตา ทางฝั่งผกก.มือเก๋าประจำสตูดิโอ ก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เริ่มจาก อิซาโอะ ทาคาฮาตะ ผกก.มือเก๋าอีกคน จาก The Grave of Fireflies มีผลงานการกำกับเรื่อง The Tales of Princess Kaguya ที่ดัดแปลงมาจากนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น ซึ่งก็ออกฉายที่ญี่ปุ่นไปเมื่อปี 2013 ตัวหนังนั้นก็ได้รับการตอบรับที่ดีพอสมควรทั้งญี่ปุ่น กับ ต่างประเทศ

ส่วนอีกคนนึงที่จะขาดเสียไม่ได้เลย ไม่พูดถึงเขาก็กระไรอยู่ สำหรับ ฮายาโอะ มิยาซากิ แม้จำนวนผลงานการกำกับของเขาในช่วง 10 ปีหลังนี้ ออกจะจำนวนน้อยนิด ตามสภาพร่างกายและสังขารที่สูงขึ้นของเขา แต่ถึงกระนั้น เขายังคงวาดลวดลายในการกำกับหนังอนิเมในช่วงเวลาดังกล่าวได้อย่างดีเยี่ยมเช่นเดย แถมยังรักษาคอนเซ็ปต์เน้นอนุรักษ์ธรรมชาติ กับ เน้นสันติภาพ ต่อต้านสงคราม ตามสไตล์ของเขาเป็นหลัก ซึ่งชื่อของเขาก็สามารถเรียกคอหนังคออนิเมให้เข้าชมผลงานของเขาได้อีกตามเคย ทั้ง Ponyo (2008) แล้วก็ The Wind Rises (2013) โดยเรื่องหลังนั้น จัดเป็นผลงานกำกับอนิเมเรื่องสุดท้ายของเขา หลังจากที่ปู่มิยาซากิ ประกาศรีไทร์ หลังจาก The Wind Rises ออกฉายบนโรงไม่นาน แต่ก็ส่งผลให้ตัวหนัง The Wind Rises ครองอันดับ 1 บน Box Office ถึง 8 สัปดาห์ซ้อน พร้อมกับคำชื่นชมจากผู้ชมมากมาย (พอๆกะเสียงวิจารณ์ด้านลบ ที่มองว่า ปู่มิยาซากิ ลักลั่นย้อนแย้ง บอกว่าต่อต้านสงคราม แต่กลับทำหนังแนวประวัติศาสตร์เครื่องบินรบในสงครามซะงั้น) เท่านั้นไม่พอ การประกาศวางมือของเขา ยังส่งผลถึงผลงานอนิเมเรื่องอื่นๆของมิยาซากิ ที่มียอดการซื้อหรือเช่าวีดีโอมากยิ่งขึ้นในช่วงเวลานั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ผลงานของ Ghibli ในรอบ 10 ปีหลัง มีอยู่หลายเรื่องที่คงความยอดเยี่ยม กวาดรางวัลหลายสถาบันในญี่ปุ่น รวมถึงคว้าสาขาอนิเมแห่งปีของ Japan Academy Prize ถึง 4 เรื่อง (Ponyo, The Secret World of Arrietty, From Up on Poppy Hill,The Wind Rises) แถมบางเรื่องยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกด้วย (The Wind Rises - สาขาหนังอนิเมยอดเยี่ยม , Marnie - สาขาเพลงประกอบหนังงยอดเยี่ยม) แต่น่าเสียดายที่หนังเหล่านี้ ไม่สามารถสร้างปรากฏการณ์เทียบเคียงกับ Spirited Away ที่เคยไปไกล ถึงการคว้ารางวัลหนังอนิเมชั่นยอดเยี่ยมของออสการ์มาแล้ว เมื่อปี 2003 ได้เลย อีกทั้ง จากการที่ช่วงไม่กี่ปีให้หลัง สตูดิโอ Ghibli มีการเปลี่ยนแปลงภายในมากมายนับตั้งแต่ มิยาซากิ ประกาศวางมือจากผกก. แถมหนังอนิเมยาวเรื่องล่าสุดของ Ghibli อย่าง When Marnie was There กลับไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้เท่าที่ควรอีก ก็ส่งผลต่อ Ghibli เข้าอย่างจัง ทำให้สถานภาพของ Ghibli ในขณะนี้ อยู่ในช่วงหยุดการผลิตหนังอนิเมยาวเป็นการชั่วคราว (แต่ยังมีการผลิตหนังอนิเมให้กับพิพิธภัณฑ์ Ghibli) แต่จะเน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมต่างๆ ให้เพียบพร้อม ดีพอ สำหรับอนิเมเตอร์รุ่นใหม่ๆ ที่จะเข้ามาสานต่อความสำเร็จต่างๆที่บรรดาอนิเมเตอร์รุ่นบุกเบิกของสตูดิโอแห่งนี้เคยทำเอาไว้ ต่อไป............

 


หนังอนิเมของ มาโมรุ โฮโซดะ

หนังอนิเมในรอบ 10 ปีที่ผ่านมานี้ หนึ่งในผลงานที่จัดว่าโดดเด่นไม่แพ้ Ghibli (ดีไม่ดี พอฟัดพอเหวี่ยงด้วย) คงหนีไม่พ้นหนังอนิเมจากผลงานการกำกับของ มาโมรุ โฮโซดะ ผู้กำกับมากประสบการณ์ ซึ่งเขาได้ใช้ประสบการณ์ในการมีส่วนร่วมอยู่เบื้องหลังให้กับอนิเมจำนวนหนึ่งของสตูดิโอ Toei กับ Madhouse ในการสร้างสรรค์ผลงานหนังอนิเมที่มีเนื้อหาเฉพาะตัว โดยเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในหนู่คออนิเมกว้างขวาง จากการกำกับหนังอนิเมเรื่อง The Girl Who Leapt Through Time (2006) ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกัน โดยหนังอนิเมชุดนี้ ก็สร้างชื่อให้กับเขาอย่างกว้างขวาง ด้วยการคว้ารางวัลสำคัญๆจากหลากสถาบัน แถมยังเป็นหนังอนิเมเรื่องแรกที่สามารถคว้ารางวัลในสาขาอนิเมแห่งปีของ Japan Academy Prize (ตุ๊กตาทองญี่ปุ่น) ที่เพิ่งมีการจัดตั้งปีแรก เมื่อปี 2007

จากความสำเร็จของหนังสาวน้อยกระโดดทะลุเวลาเรื่องนี้ ก็ทำให้เขามีผลงานหนังอนิเมเรื่องอื่นๆอีกตามมา ทั้ง Summer Wars (2009) ,Wolf Children (2012) แล้วก็ The Boy and the Beast (2015) แถมผลงานแต่ละเรื่องนั้นต่างก็ได้รับการตอบรับจากผู้ชมที่ดีเยี่ยมไม่แพ้กัน กวาดรายได้ติดอันดับต้นๆของญี่ปุ่นแทบทุกเรื่อง และที่สำคัญ ผลงานทั้ง 3 เรื่องหลังของเขา สามารถคว้ารางวัลสาขาอนิเมแห่งปีของ Japan Academy Prize ได้อย่างหมดจดอีกเช่นกัน จนเรียกได้ว่า เป็นบุคคลวงการอนิเมญี่ปุ่นที่น่ามหัศจรรย์จริงๆ สำหรับ โฮโซดะ ผู้นี้!!

โดยจุดเด่นของผลงานหนังอนิเมของโฮโซดะนั้น จะเน้นเรื่องราวมิตรภาพ ความรัก ความผูกพัน ระหว่างคนในครอบครัว แล้วก็ผู้คนกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งจะเน้นเรื่องการยอมรับความแตกต่างกันซึ่งกันและกันของแต่ละคน เป็นพิเศษ (โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน Wolf Children ,The Boy and the Beast) และที่สำคัญ บทกับเนื้อหาในหนังของเขานั้น ก็ค่อนข้างจะลึกซึ้งกินใจ เรียกน้ำตาความประทับใจให้แก่ผู้ชม ทุกเรื่อง เช่นกัน แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้งานของเขามาถึงตรงนี้ได้ คงจะเป็นงานภาพที่ได้ อ.โยชิยูกิ ซาดาโมโตะ จากมังงะ Evangelion มามีส่วนร่วมในการออกแบบตัวละครให้กับหนังเกือบทุกเรื่องของโฮโซดะ อีกเช่นกัน (ยกเว้น The Boy and the Beast )

 

 

 

Rebuild of Evangelion

ซีรี่ย์อนิเมสุดก้องโลกแห่งยุค 90 ที่ได้เข้ามาพลิกโฉมอนิเมญี่ปุ่นหลายต่อหลายอย่าง ต่างๆนานา ทั้งเนื้อเรื่องไซไฟที่แฝงปรัชญาอันดาร์กเข้มข้น ไม่เหมือนใครในช่วงเวลานั้น (จนดูไม่ค่อยรู้เรื่อง) กอปรกับการออกแบบคาแร็คเตอร์ตัวละครที่มีเอกลักษณ์เป็นที่จดจำของคนดูเป็นอย่างดี ทั้ง ชินจิ เด็กหนุ่มเจ้าปัญหา , เรย์ สาวผมฟ้าเงียบขรึมแฝงเสน่ห์เพียบ ,อาซึกะ สาวลูกครึ่งที่หลายคนรักมากพอๆกับหงุดหงิด เป็นต้น ด้วยสิ่งเหล่านี้ ทำให้อนิเมจาก Studio Gainax เรื่องนี้ได้รับความนิยมเป็นวงกว้างและกวาดรายได้จากสินค้าคาแร็คเตอร์ได้มหาศาลจวบจนทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวการต่อสู้กับเหล่าเทวทูต (พร้อมๆกับชีวิตของแต่ละคน) ก็ถูกนำมาบอกเล่ากันใหม่อีกครั้ง ในรูปแบบหนังอนิเมจอเงิน 4 ชุด ที่เป็นการนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฉบับอนิเม มาตัดต่อเล่าใหม่ ผ่านภาพยนตร์ 4 ชุด ที่เรียกรวมๆกันว่า Rebuild of Evangelion และปัจจุบัน ออกฉายไปแล้วถึง 3 ภาค ประกอบด้วย Evangelion: 1.0 You Are (Not) Alone (2007), Evangelion: 2.0 You Can (Not) Advance (2009) และ Evangelion: 3.0 You Can (Not) Redo (2012) ซึ่งหนังแต่ละภาคที่ออกฉายไปนั้น ต่างได้รับการต้อนรับจากแฟนๆของ EVA อย่างท่วมท้นอบอุ่น คนเข้าคิวรอชมหนังเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก ซะจนทำรายได้สูง โดยเฉพาะกับหนัง Evangelion: 3.0 นั้น ทำสถิติเป็นหนังที่ทำรายได้สูงที่สุดในบรรดาหนัง Rebuild of Evangelion 3 เรื่องที่ได้ออกฉาย พร้อมกับได้เข้าชิงรางวัลอนิเมแห่งปีของ Japan Academy Prize เมื่อปี 2013

แม้หนัง EVA จะได้รับการตอบรับจากแฟนๆเก่าๆ แต่พวกเขายังคงรอคอยการมาของหนัง Evangelion: 3.0+1.0 หนังชุดสุดท้ายของซีรี่ย์นี้ ที่ไม่มีใครรู้ว่าตัวหนังจะได้ฤกษ์ออกฉายกันจริงๆจังๆเมื่อไหร่ (เจอโรคเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด ทั้งที่เดิมทีมีกำหนดจะฉายในปี 2015) แต่อย่างน้อย ในช่วงเวลาดังกล่าว แฟนก็ยังได้ฟิน ที่ได้เห็นตอนจบของมังงะต้นฉบับของเรื่องนี้กันซะที หลังดำเนินเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป (หยุดเขียนก็หลายที) เป็นเวลาถึง 19 ปี เมื่อปี 2013

 

 


One Piece Film : Strong World & One Piece Film : Z

มาถึงซีรี่ย์การ์ตูนขวัญใจมหาชนของคนพ.ศ.นี้ กับการผจญภัยของลูฟี่กับเพื่อนๆ กลุ่มโจรสลัดหมวกฟาง ในการเสาะหา "วันพีซ" ขุมทรัพย์ลึกลับที่ใครหลายคนใฝ่ฝันถึงและอยากจะคว้ามันไปครอง และในระหว่างการผจญภัยอันยาวนานของพวกลูฟี่ในฉบับการ์ตูนที่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ พวกเขายังได้ออกผจญภัยบนเส้นทางพิเศษในรูปแบบหนังอนิเมจอเงิน ที่มีการออกฉายตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ในช่วงแรกๆของวันพีซ ฉบับจอเงิน ก็มีทั้งเรื่องราวจัดทำขึ้นมาใหม่ กับ ดัดแปลงตัดต่อมาจากเนื้อหาหลักบางตอนของฉบับการ์ตูน แต่ตัวหนังนั้นก็ออกมาไม่เปรี้ยงปร้างนักเท่าไหร่ จนกระทั่ง ฉบับจอเงินของวันพีซ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ อ.เอย์อิจิโร่ โอดะ ผู้แต่งวันพีซ ฉบับการ์ตูน ได้อาสาที่จะลงมาดูแลโปรเจ็คจอเงินด้วยตัวของเขาเอง พร้อมกับมีส่วนร่วมในการผลิตจอเงิน ทั้งการออกแบบตัวละคร และคอนเซ็ปต์เนื้อเรื่อง ใน 2 ภาคล่าสุด ทั้ง One Piece Film : Strong World กับ One Piece Film : Z ที่ออกฉายเมื่อปี 2009 กับ 2013 ตามลำดับ การมาของอ.โอดะ กับ หนังสองชุดนี้ ก็ถูกอกถูกใจบรรดาคออนิเมที่เป็นแฟนคลับเรื่องนี้ตัวยง รวมถึงคนอื่นๆ เลยทำให้ตัวหนังโกยรายได้จากการออกฉายถล่มทลาย เมื่อเทียบกับหนังภาคแรกๆอย่างไม่เห็นฝุ่น โดยเฉพาะกับ One Piece Film : Z นั้น จัดเป็นหนังอนิเมวันพีซ ที่ทำรายได้สูงที่สุดในบรรดาหนังทุกภาคของวันพีซ

One Piece Film : Strong World เป็นเรื่องราวของลูฟี่และพรรคพวก กับปฏิบัติการช่วยเหลือนามิ ที่ถูกลักพาตัวโดย ชิกิ อดีตคู่ปรับของโจรสลัดโกลด์ โรเจอร์ ส่วน One Piece Film : Z เป็นเรื่องราวการเผชิญหน้ากันระหว่าง กลุ่มโจรสลัดหมวกฟาก กับ ศัตรูตัวฉกาจที่พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน อย่าง Z โดยส่วนหนึ่งที่จะอดพูดถึงไม่ได้ในหนังวันพีซ 2 ภาคหลัง ก็คือ ชุดเครื่องแต่งตัวสุดเท่ห์ที่พวกหมวกฟางสวมใส่ในหนังชุดนั้นๆ และยังกลายมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในหนังชุดใหม่ล่าสุดของพวกเขา อย่าง One Piece Film : Gold ที่จะออกฉายช่วงฤดูร้อน 2016 นี้ ซึ่งต้องติดตามว่า ภาค Gold จะสามารถสร้างกระแสความแรง ทุบสถิติรายได้ ได้อีกหรือไม่!?

 


 

Stand by Me Doraemon

เจ้าหุ่นยนต์แมวสีฟ้า โดราเอมอน และผองเพื่อน ก็ยังคงออกผจญภัยบนจอเงินอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 30 ปี นับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา ซึ่งหนังทุกภาคของโดราเอมอนนั้น ก็ได้รับการตอบรับจากผู้ชมน้องๆหนูๆ ผู้หลักผู้ใหญ่กันอยู่เหมือนเคย แต่ถ้าหากจะนับหนังโดราเอมอนที่โดดเด่นที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น กลายเป็นว่า หนังดังกล่าวไม่ใช่หนังอนิเมชั่น 2D ที่เราเห็นจนชินตา แต่กลับเป็นหนัง 3DCG ชุดแรกในประวัติศาสตร์ของโดราเอมอน ที่ออกฉายเมื่อปี 2014 ที่มีชื่ออันน่าจดจำ (คล้ายๆกะเพลงนึงของ Oasis อีก) นั่นคือ Stand by Me Doraemon

Stand By Me Doraemon ออกฉายที่ญี่ปุ่น ช่วงกลางปี 2014 แล้วก็สามารถโกยรายได้เปิดตัวเป็นอันดับ 1 ทันทีหลังจากออกฉายเพียงสัปดาห์แรก โดยเอาชนะ Transformers: Age of Extinction ที่เข้าฉายสัปดาห์แรกในญี่ปุ่นเช่นเดียวกันอย่างขาดลอย แม้อนิเมชุดนี้จะเป็นการนำตอนปกติธรรมดาจำนวน 7 ตอนของโดราเอมอน ที่หลายคนเคยสัมผัส และชื่นชอบกัน มาทำใหม่ในรูปแบบ 3 มิติ ซึ่งตัวหนังนั้นก็ทำออกมาในอารมณ์รำลึกถึงสำหรับคนที่เติบโตมากับโดราเอมอน รวมถึงทำออกมาให้คนที่ไม่เคยรู้จักกับโดราเอมอนรู้สึกเข้าถึงด้วย แม้ว่าตัวหนังจะนำเสนอความแปลกใหม่ด้วยการเห็นตัวละครโดราเอมอนและเพื่อนๆในแบบมีมิติมากขึ้น แต่สำหรับคอหนังบางคนโดยเฉพาะกับคนที่เคยติดตามโดราเอมอนมาตลอด อาจรู้สึกเฉยๆ เพราะพอเดาเรื่องราวของตัวหนังช่วงท้ายออก แต่ก็มีคอหนังจำนวนไม่น้อยเลย ที่รับรู้ถึงความประทับใจบวกกับอารมณ์ซึ้ง ตื้นตัน ได้รำลึกความหลังของตัวหนังที่ทำเอาผู้คนพากันร้องไห้กลางโรงไปเกินครึ่ง ก็ทำให้หนังชุดนี้ขึ้นทำเนียบเป็นหนังที่ทำรายได้สูงที่สุดในฤดูร้อนของญี่ปุ่น ปี 2014 และเป็นหนังอนิเมชั่น 3D CG ที่ทำรายได้สูงที่สุดเป็นประวัติกาลของญี่ปุ่น รวมถึงยังเป็นหนังโดราเอมอนที่สามารถทำรายได้สูงที่สุดในบรรดาหนังทุกภาคทุกเวอร์ชั่นของพี่ม่อนไปโดยปริยาย เมื่อกระแสการตอบรับของ Stand By Me Doraemon ออกมาดีเยี่ยมขนาดนี้ จึงทำให้มีหลายประเทศต่างสนใจแห่ซื้อลิขสิทธิ์หนังชุดนี้ไปเข้าฉายในประเทศต่างๆ รวมกันถึง 57 ประเทศด้วยกัน!! (ในจำนวนนี้ ก็มีเพื่อนบ้านอาเซียน , ประเทศแถบเอเชียใต้,ตะวันออกกลาง แล้วก็แอฟริกา อยู่หลายประเทศเลย รวมถึงหนังชุดนี้ ยังเป็นหนังโดราเอมอนภาคแรกที่ได้เข้าฉายบนโรงในบางประเทศอีกด้วย)

และด้วยความยอดเยี่ยมที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ หนัง 3DCG ของพี่ม่อนชุดนี้ คว้ารางวัลอนิเมชั่นแห่งปี ของ Japan Academy Prize เมื่อปี 2015 และกลายเป็นหนังจากอนิเมซีรี่ย์ดังเรื่องแรกที่สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศในสาขาดังกล่าว (ไม่นับ Tekkon Kinkreet เมื่อปี 2008 ที่ดัดแปลงมาจากมังงะของ Taiyou Matsumoto โดยตรงเลย)

 

 

 

Western Animation

Frozen

งานอนิเมชั่นของ Walt Disney ยังคงมีอิทธิพลของคนดูทุกกลุ่มทุกวัยอย่างสม่ำเสมอ และมีหนังอนิเมชั่นเป็นที่รู้จักของคนดูอยู่ตลอด และทำเงินมหาศาล ทั้งรายได้หนัง แล้วก็ สินค้าคาแร็คเตอร์ แต่ถ้าหากจะเลือกหนังอนิเมชั่นจาก Disney ที่มีพลัง Impact ทั่วหย่อมหญ้ามากที่สุด ในช่วง 10 ที่ผ่านมา คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ราชินี Elsa กับเจ้าหญิง Anna ได้รวมพลังส่งไอเย็น พา Frozen เป็นหนังที่มีกระแสการตอบรับดีเยี่ยมที่สุดในช่วงปี 2013-14 ด้วยพล็อตเรื่องการนำเสนอ ที่ค่อนข้างแตกต่างไปจากหนังอนิเมชั่นของ Disney เรื่องก่อนๆหน้า คือ เน้นการเผชิญหน้าต่อสู้กับความกลัวในจิตใจ แล้วก็ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องซึ่งถือว่าเป็นความรักที่แท้จริงได้เช่นกัน ( ผิดจากหนังเรื่องก่อนๆ ที่เน้นแต่เจ้าชายรักเจ้าหญิงเป็นหลัก) เลยทำให้ตัวหนังได้รับการตอบรับจากผู้ชมจากหลายๆประเทศที่ออกฉายเรื่องนี้อย่างท่วมท้น จนเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์แผ่นฟิลม์โลก

ตัวหนังสามารถสร้างสถิตใหม่ในหลายๆอย่าง อาทิ เป็นหนังที่ทำรายได้มากที่สุดตลอดกาล ในอันดับที่ 5 , หนังอนิเมชั่นที่ทำรายได้สูงที่สุดตลอดกาล,หนังจากปี 2013 ที่ทำรายได้สูงสุด,หนังที่ทำรายได้สูงที่สุดของ Walt Disney Pictures และ เป็นหนังจัดจำหน่ายโดย Disney ที่สามารถทำรายได้สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 และด้วยความยอดเยี่ยมที่เกิดขึ้นกับหนังชุดนี้ ทำให้ตัวหนังยังได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงในหลายสาขารางวัลบนเวทีต่างๆ ก่อนจะคว้ารางวัลสำคัญๆจากเวทีใหญ่มาประดับ ทั้ง Golden Globe Awards ในสาขาหนังอนิเมชั่นยอดเยี่ยม , Oscar ในสาขาหนังอนิเมชั่นยอดเยี่ยม และ เพลงประกอบยอดเยี่ยม , BAFTA สาขาหนังอนิเมชั่นยอดเยี่ยม รวมถึงยังคว้ารางวัล Annie Awards ถึง 5 สาขา และ รางวัล Critics' Choice Awards อีก 2 สาขาด้วยกัน

และอย่างที่บอก เรื่องนี้ยังสร้างสถิติสำคัญๆใประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในญี่ปุ่นนั้น เรื่องนี้สามารถครองอันดับ 1 ใน Box Office ญี่ปุ่น ได้นานถึง 16 สัปดาห์ติดต่อกันขึ้นทำเนียบเป็นหนังตะวันตกที่สามารถทำรายได้สูงสุดในญี่ปุ่น ประจำปี 2014ไปครอง,หนังอนิเมชั่น 3D ที่ทำรายได้สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ในญี่ปุ่น ,หนังที่ทำรายได้สูงที่สุดของ Walt Disney Studios Japan และยังเป็นหนังที่สามารถทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในญี่ปุ่น เป็นอันดับที่ 3 รองจาก Titanic และ Spirited Away .......เท่านั้นไม่พอ ยอดจำหน่ายแผ่น BD/DVD ของเรื่องนี้ก็ขายดิบขายดีมากอย่างรวดเร็วที่ญี่ปุ่น จนทำสถิติยอดขายแผ่น BD/DVD สูงที่สุดตลอดกาลแซงหน้า Spirited Away เช่นกัน

จากการะแสความมาแรงของ Frozen นี้เอง ยังส่งผลทำให้ "Let 's it go" เพลงประกอบหนังเรื่องนี้กลายเป็นเพลงสุดฮิตที่ใครๆต่างได้ยินแล้วก็พากันร้องตามได้ และมีการจัดทำในหลากหลายภาษา หลากหลายเวอร์ชั่นทั้งแบบทางการกับแฟนๆทำเอง โดยเพลง Let 's it go ในเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นที่ขับร้องโดย ทาคาโกะ มัตสึ นั้น สามารถขึ้นถึงอันดับ 1 ในญี่ปุ่น ทั้งชาร์ตเพลงอนิเมคาราโอเกะยอดนิยม ประจำปี 2014 ของร้าน Joysound แล้วก็ เพลงอนิเมยอดฮิตอันดับ 1 ของ Billboard Japan นอกจากนี้ อัลบั้มซาวด์แทร็คจากหนังเรื่องนี้ ยังสามารถครองอันดับ 1 ในชาร์ตอัลบั้มขายดีในญี่ปุ่นในหลายสัปดาห์ด้วยกัน ซึ่งนับเป็น เพลงจากหนังอนิเมชั่นชุดแรกในรอบ 35 ปี ที่สามารถทำยอดขายอันดับ 1 ในชาร์ตดังกล่าว ได้ถึง 3 สัปดาห์ติดต่อกัน รวมถึงยังเป็นอัลบั้มซาวด์แทร็คจากหนังอนิเมชั่นที่มียอดขายสูงที่สุดแซงหน้า Farewell Space Battleship Yamato ที่เคยทำเอาไว้ด้วยเช่นกัน

 

 

Minion

เจ้ากล้วยหอมตัวจิ๋วเจี๊ยวจ๊าว (พูดไม่รู้เรื่อง) สุดยอดเบ๊ให้กับพวกวายร้าย กลายมาเป็นหนึ่งในคาแร็คเตอร์ตัวการ์ตูนดังระดับโลกในช่วงเวลาไม่กี่ปี โดยเหล่า Minion นั้น แรกเริ่มเดิมที เป็นตัวละครประกอบในหนังอนิเมชั่น Despicable Me ทั้ง 2 ภาค และจากวีรกรรมความซนป่วน สร้างสีสันเรื่องราว พร้อมกับรูปร่างอันกระทัดรัดน่ารักของพวกเขา ก็เลยทำให้เหล่า Minion ได้รับความนิยมชมชอบจากแฟนๆทุกเพศทุกวัย และเป็นกำลังสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้หนัง Despicable Me ภาค 2 สามารถทำเงินจากการออกฉายได้ถึง 970,761,885 เหรียญสหรัฐ เมื่อปี 2013

จากข้างต้น ก็เลยไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจใดๆ ที่ทำให้ พวกเขาได้รับการยกระดับ กลายเป็นตัวละครนำในหนังของตนเอง ซึ่งออกฉายไปเมื่อปี 2015 การมาของฉบับหนังเต็มตัวของพวกเขา ได้รับการต้อนรับจากผู้ชมอย่างท่วมท้นในหลายๆประเทศ สามารถทำเงินจากการออกฉาย1,159 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ทำรายได้สูงสุดอันดับ 1 ประจำปี 2015 ซึ่งผลงานของพวกเขามีดีพอที่จะสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นหนังอนิเมชั่นที่ทำเงินสูงที่สุดตลอดกาล เป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ Frozen เรื่องเดียว แถมส่งผลให้ Universal Pictures เป็นสตูดิโอแรกในประวัติศาสตร์ ที่มีหนังทำเงินถึง 1 พันเหรียญสหรัฐ ถึง 3 เรื่อง ภายในปีเดียวกัน!!!!! ต่อจาก Furious 7 ที่ทำรายได้ 1.512 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ Jurassic World ที่ทำรายได้มากกว่า 1.628 พันล้านเหรียญสหรัฐ

และด้วยผลงานขนาดนี้ ทำให้เรื่องนี้คว้ารางวัล People's Choice Awards ครั้งที่ 42 ในสาขาภาพยนตร์แนวครอบครัวยอดนิยม อีกทั้งยังทำให้สินค้าของ Minion ต่างขายดิบขายดี จนถึงทุกวันนี้

 

 

Toy Story 3

การผจญภัยของคาวบอย Woody , หุ่นอวกาศ Buzz Lightyear และเหล่าสหายของเล่นของ Andy ใน Toy Story ได้อุบัติขึ้นครั้งแรก เมื่อปี 1995 ซึ่งก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับใครๆในยุคนั้น เพราะเรื่องนี้คือหนัง CG อนิเมชั่นเรื่องยาวเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์โลก รวมถึงยังเป็นหนังเรื่องแรกที่ผลิตโดย Pixar อีกด้วย (ก่อนจะรวมตัวกับ Walt Disney ในภายหลัง) เรื่องราวของเหล่าสหายของเล่นได้ดำเนินล่วงเลยไป จนถึง ภาค 3 ที่ออกฉายเมื่อปี 2010 ซึ่งถือเป็นบทสรุป บทส่งท้ายระหว่าง Andy ผู้เป็นเจ้าของ กับ Woody และเพื่อนๆของเล่น อย่างแท้จริง จนตัวหนังสามารถทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติกาลของเรื่องนี้ จากการออกฉายทั่วโลกถึง 1.063 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้างเพียง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ จัดเป็นหนังอนิเมชั่นที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล เป็นอันดับ 3 ต่อจาก Frozen กับ Minions ที่เข้าฉายในภายหลัง พร้อมกับคว้ารางวัล ลูกโลกทองคำ (หนังอนิเมชั่น) กับ ออสการ์ 2 สาขา เป็นรางวัลการันตี (หนังอนิเมชั่น + เพลงประกอบ)

สำหรับใครที่เคยชมหนังเรื่องนี้ ก็คงจะพอทราบว่า หนังเรื่องนี้ นอกจากจะให้ความเพลิดเพลินสนุกสนานแล้ว แต่ละภาคยังแทรกแง่คิดสอนใจต่างๆให้แก่ผู้ชมด้วย ตั้งแต่ สอนให้เราตระหนักรู้จักตัวเอง รู้จักคุณค่าของตนเอง, มิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูง ความรักระหว่างมนุษย์กับของเล่น ซึ่งรวมไปถึง การเล่น ดูแลรักษาของรักของหวง อย่าง ของเล่น อย่างทะนุถนอม ซึ่ง ภาค 3 ให้ความสำคัญจุดนี้มาก เห็นได้จาก Andy ในวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่ต้องห่างเหินจากของเล่น แม้ตนจะไม่สามารถเล่นของเล่นได้ดั่งวันวาน แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ที่จะแบ่งปันสิ่งที่เขารักไปให้แก่เด็กคนอื่นๆ ให้รู้จักเล่นพวกเขาอย่างสนุกสนาน ทะนุถนอม เช่นเดียวกับตน

อย่างไรก็ตาม ก็มีการประกาศในภายหลังว่า Toy Story จะมีการสร้างต่อ กับ ภาค 4 ที่มีกำหนดออกฉายในปี 2018 ซึ่งภาคดังกล่าว woody ยังเป็นตัวชูโรงเหมือนเคย แต่จะเน้นเสนอเรื่องราวความรักระหว่างเขา กับ Bo Peep หนึ่งในสหายที่ไม่ค่อยมีบทโดดเด่นนักในภาคก่อนๆ (ไม่ปรากฎตัวในภาค 3)

 

 

Ice Age 2-4

หากจะบอกว่า หนังอนิเมชั่นที่ใช้บรรดาสิงสาลาสัตว์ พูดคุยทำอะไรได้ราวมนุษย์ เป็นตัวละคร มักเป็นจุดสนใจ สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมครอบครัวอย่างสม่ำเสมอมิเสื่อมคลาย ในช่วงปี 2005-2015 นี้ ก็มีหนังอนิเมชั่นของตัวเอกร่างสัตว์โลดแล่นบนแผ่นฟิลม์มากมาย ทั้ง Madagascar , Happy Feet , Kung Fu Panda ฯลฯ ซึ่งแต่ละเรื่องมีความน่าสนใจแตกต่างกันไป แต่เราคงไม่สามารถเขียนเล่าภายในหน้านี้หน้าเดียวได้ (ลำพังแค่นี้ก็ยาวพอแล้วล่ะ 555+) แต่สำหรับเรื่องนี้ เราไปเจอข้อมูลน่าสนใจแบบคาดไม่ถึงเข้า ก็เลยตัดสินใจเขียนถึงเรื่องนี้ กับ Ice Age !!!

การเดินทางของเหล่าสัตว์ดึกดำบรรพ์แห่งยุคน้ำแข็ง ที่อาจไม่ค่อยมีกระแสโดดเด่นเท่าใดนัก แต่เชื่อหรือไม่ว่า หนังอนิเมชั่นชุดนี้ประสบความสำเร็จด้านรายได้จากการออกฉายแทบทุกภาค นับตั้งแต่ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี 2002 จากความสำเร็จของภาคแรก (รายได้ทั่วโลก 300 ล้านเหรียญสหรัฐ + ) ทำให้พวกเขาได้ผจญภัยกันต่ออีก 3 ภาค กับ Ice Age: The Meltdown (2006) ,Ice Age: Dawn of the Dinosaurs (2009) และ Ice Age: Continental Drift (2012) โดยแต่ละภาค นอกจากธีมการผจญภัยจะเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องราวประวัติศาสตร์ยุคน้ำแข็ง ทั้งผจญกับการละลายของน้ำแข็ง , พบปะกับไดโนเสาร์ แล้วก็ เดินทางสู่ผืนทวีปใหม่ แล้วนั้น ตัวหนังนั้น ยังทำรายได้ราว 2 เกือบ 3 เท่า จากภาคแรก โดยเฉพาะ ภาค Dawn of the Dinosaurs กับ Continental Drift ที่สามารถทำรายได้ในระดับมากกว่า 800,000,000 เหรียญสหรัฐ ทั้ง 2 ภาค ซึ่งภาค 3 Dawn of the Dinosaurs จัดเป็นหนัง Ice Age ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของซีรี่ย์เลยทีเดียว

ด้วยรายได้ทั่วโลกขนาดนี้ ทำให้เหล่าสัตว์ดึกดำบรรพ์กลุ่มนี้ ได้รับไฟเขียวให้ออกเดินทางกันต่อ กับหนังภาค Collision Course ที่คราวนี้จะต้องพบเจอกับเหล่าอุกกาบาตพุ่งเข้าชนโลกที่มีผลต่อการสูญพันธุ์ของสัตว์หลายชนิด โดยสามารถติดตามพวกเขากันได้บนโรงภาพยนตร์ ปี 2016 นี้ (ไม่รู้ว่า เจ้ากระรอก Scrat ยังจะออกอาการหวงลูกโอ๊ค จนเกิดเรื่องวุ่นวาย ขโมยซีนชาวบ้านตอนท้าย อีกมั๊ยล่ะเนี่ย)

 

 

*** List พิเศษ ***

ก้านกล้วย

สำหรับเรื่องนี้ แม้ยอดรายได้กับความดังคงไม่อาจเทียบเคียงกับหนังอนิเมชั่นระดับโลก แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการอนิเมชั่นสยามประเทศ ซะจริงๆ โดย Kantana Animation ได้ถือกำเนิดช้างน้อยก้านกล้วย โลดแล่นบนแผ่นฟิลม์บ้านเรา เมื่อปี 2006 ซึ่งจัดเป็นหนังอนิเมชั่น 3D เรื่องยาวเรื่องแรกที่ผลิตขึ้นโดยคนไทย และเป็นหนังอนิเมชั่นฝีมือคนไทยเรื่องที่ 2 ที่ได้เข้าฉายบนโรง (ต่อจาก สุดสาคร - เป็นหนังอนิเมชั่น 2 มิติ) กับเรื่องราวของช้างน้อยก้านกล้วยที่ต่อมากลายเป็นช้างศึกคู่ใจของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นามว่า "เจ้าพระยาปราบหงสาวดี" หนังอนิเมชั่นชุดนี้ ได้ คมภิญญ์ เข็มกำเนิด อนิเมเตอร์ชาวไทยผู้เคยมีส่วนร่วมอยู่เบื้องหลังหนังอนิเมชั่นดังของ Walt Disney จำนวนหนึ่ง อาทิ The Lion King , Atlantis : The Lost Empire แล้วก็ Tarzan ซึ่งเขาและทีมงานก็ได้ทำอนิเมชั่นช้างน้อยสีน้ำเงินให้เป็นอนิเมชั่นที่คงความเป็นไทยในหลายๆด้าน ผสมผสานกับอนิเมชั่นสไตล์ตะวันตก ได้อย่างลงตัว

หนังความยาว 104 นาที ใช้ทุนสร้างราว 150 ล้านบาท เรื่องนี้ สามารถทำรายได้ในไทยถึง 98 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนังไทยที่ทำรายได้สูงสุดในปี พ.ศ. 2549 อีกทั้งยังสามารถคว้ารางวัลพระสุรัสวดี หรือ ตุ๊กตาทองของบ้านเรา ประจำปี พ.ศ. 2549 ถึง 4 สาขารางวัล ได้แก่ ภาพยนตร์เกียรติยศแห่งปี,ภาพยนตร์ยอดนิยมแห่งปี (ที่ทำรายได้สูงสุด) , บันทึกเสียงยอดเยี่ยม และ ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เช่นกัน จากนั้น เจ้าก้านกล้วยก็ได้โกอินเตอร์ออกฉายต่างประเทศ จัดจำหน่ายในรูปแบบแผ่น โดยเฉพาะกับในอเมริกานั้น ตัวหนังเปลี่ยนชื่อไปเป็น The Blue Elephant และมีการเปลี่ยนชื่อตัวละครในเรื่องไปบางส่วน (ตามสไตล์ฝรั่งเค้า) โดยตัวหนังสามารถคว้ารางวัลระดับนานาชาติที่ประเทศสเปน กับ แคนาดา มาแล้ว และจากความสำเร็จของตัวหนัง ก็เลยทำให้ เจ้าก้านกล้วยและเพื่อนๆ ได้โลดแล่นกันต่อไป ในรูปแบบอนิเมชั่นทีวี ออกฉายทางช่อง 7

 

 




kartoon-discovery.com
May 2016


 
free hit counter javascript